วิธีเตรียมตัวรับมือ กับการปรับขึ้นค่า Ft

เป็นที่แน่นอนแล้วหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สรุปปรับขึ้นค่าเอฟที งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2565 ที่ 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยโดยรวมที่ต้องจ่ายจริงอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย สูงขึ้นจากงวดปัจจุบันที่จ่ายอยู่ 4 บาทต่อหน่วย นั่นก็หมายความว่าถึงแม้เราจะใช้ไฟในปริมาณเท่าเดิม แต่ค่าไฟที่เราต้องจ่ายจะแพงขึ้น วันนี้ HOMEWORK FABRICS เราจึงได้หาวีธีเตรียมรับมือกับค่าไฟที่กำลังจะปรับขึ้น
1. เลือกดูแล และตั้งค่าแอร์ ให้ถูกต้องเหมาะสม
เลือกขนาด BTU แอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และควรเลือกระบบของแอร์ตามการใช้งานหมั่นดูแลล้างแอร์ ทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์เป็นประจำ ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้แอร์เย็นฉ่ำเร็วทั่วห้องโดยไม่เปลืองไฟ นอกจากนี้ควรตั้งแค่แอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนเป็นโหมดประหยัดพลังงาน
2. ไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำความร้อนในห้องที่เปิดแอร์
หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดในขณะที่เปิดแอร์ เช่น เตารีด กระติกน้ำร้อน หรือไดร์เป่าผม เจ้าพวกนี้จะทำให้เราเสียค่าไฟเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยความร้อนที่เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ปล่อยออกมา ทำให้ห้องมีอุณหภูมิสูงขึ้น จึงทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น และเปลืองไฟนั่นเอง
3. เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องมีฉลากประหยัดไฟ
การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ควรเลือกซื้อที่มี “ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5” เป็นวิธีการสำคัญที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าในระยะยาว เพราะฉลากเบอร์ 5 จะแสดงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นผ่านการทดสอบแล้วว่าประหยัดพลังงานตามมาตรฐานที่กฟผ.และกระทรวงพลังงานกำหนดนั่นเอง
4. เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟที่ประหยัดพลังงาน
การเลือกใช้หลอดไฟที่ประหยัดพลังงาน จะช่วยลดค่าไฟได้มาก และหากพูดถึงหลอดไฟที่ราคาไม่แพง ประหยัดและคุ้มค่าที่สุดละก็ คงหนีไม่พ้นหลอดไฟแอลอีดี (LED) เพราะช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 75 % และอายุการใช้งานนานกว่าถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบหลอดไส้ (Incandescent Lighting)
5. อย่าเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้และควรถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ออก
เป็นวิธีง่ายๆที่สุดเบสิคที่จะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้า ลองเปลี่ยนพฤติกรรมสักนิด นอกจากคุณจะได้ประหยัดค่าไฟแล้ว ยังช่วยลดโลกร้อนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
6. ทำความสะอาดและจัดระเบียบตู้เย็น
อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าคือไม่แช่ของเยอะจนเกินไป จัดให้เป็นระเบียบและหมั่นทำความสะอาด จะทำให้หยิบจับหาของได้ง่าย ไม่เสียเวลาเปิดตู้เย็นนานเพื่อหาของ ช่วยรักษาอุณหภูมิของอาหารได้ดีโดยที่ตู้เย็นไม่ทำงานหนักนั่นเอง
7. เปลี่ยนพฤติกรรมการซักผ้าให้เหมาะสม
ลองปรับพฤติกรรมสักนิด ซักผ้าหนึ่งครั้งให้คุ้มค่า ด้วยปริมาณผ้าที่พอดีกับความจุของถัง ไม่อัดแน่นจนล้น แต่ก็ไม่น้อยไปจนต้องซักบ่อย ๆ ให้เปลืองน้ำเปลืองไฟ อย่าลืมหมั่นทำความสะอาดถุงกรองฝุ่นในเครื่องซักผ้า เพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นวิธีการช่วยประหยัดไฟฟ้า และยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์นั่นเอง
8. รีดผ้าทั้งที ต้องรีดทีเดียวเยอะ ๆ
ควรรีดทีเดียวเยอะ ๆ ให้เสร็จ และเลือกรีดจากผ้าที่รีดยากก่อนด้วยระดับความร้อนที่เหมาะสม เมื่อใกล้หมดกอง จึงค่อยถอดปลั๊ก และใช้ความร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่เพื่อรีดผ้าที่เรียบง่าย เท่านี้ก็จะเป็นวิธีช่วยประหยัดค่าไฟ แล้วยังยืดอายุการใช้งานของเตารีดได้อีกด้วย
9. ปลูกต้นไม้บริเวณรอบบ้าน
การปลูกต้นไม้รอบๆ บ้านจะช่วยดูดซับความร้อน ต้นไม้นั้นจะคายน้ำออกมาทางใบ ทำให้อากาศโดยรอบจะเย็นสบาย ช่วยกรองอากาศให้บริสุทธิ์ขึ้น แถมยังสร้างร่มเงาและบังแดดให้ตัวบ้าน เมื่อบ้านเย็นขึ้น ก็จะช่วยลดการใช้พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ เป็นอีกวิธีที่ช่วยประหยัดไฟฟ้านั่นเอง
10. ใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันความร้อนเข้ามาในบ้าน
ลองมาเปลี่ยนบ้านร้อนให้เย็นขึ้นด้วยการติดผ้าม่านประหยัดพลังงาน และ อิฐมวลเบาประหยัดพลังงาน นวัตกรรมดีๆที่ช่วยลดความร้อนภายในบ้าน ลดการใช้พลังงาน